วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

การหาฤกษ์คลอดบุตร วันคลอดลูก

การหาฤกษ์คลอด หาวันคลอด 


บทความเกี่ยวกับการหาฤกษ์คลอดที่น่าสนใจ สำหรับว่าที่คุณพ่อและว่าที่คุณแม่ทุกคนทางเลือกในการหาฤกษ์คลอดบุตร ได้นำเสนอข้อมูลที่นำสนใจที่ต้องคิดต่อว่าความเครียดมากมายสำหรับว่าที่คุณแม่เมื่อได้รับทราบว่า "คุณต้องผ่าคลอด"และหนึ่งในความกังวลคือ แล้วจะคลอดวันไหนดี แปลกไหมครับเกือบทุกคนรู้ว่าคลอดเองตามธรรมชาตินั้นดีที่สุดนั่นคือทุกคนหรือส่วนใหญ่ยอมรับว่าคลอดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหล่ะ ค่อยลุ้นกันว่าวันดีร้ายยังไง ดูปฏิทินจีนบ้าง หาหมอดูที่หลังบ้าง แต่พอรู้ว่าต้องผ่าคลอดกลับมากังวลเรื่องวันเวลาขึ้นมาทันที จึงต้องมาหาฤกษ์คลอดกัน

บริการหาฤกษ์คลอด
เรื่องของความเชื่อเป็นอะไรที่อธิบายยาก แต่การเชื่อแบบมีเหตุผลน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่าเรื่องใดที่ฟังดูดี ฟังดูสวยงาม แต่ถ้ามันไม่มีเหตุผล หรืออธิบายไม่ได้ว่า วันคลอดหรือวันเกิด ดี ไม่ดีอย่างไร การคลอดที่ควรเป็นเรื่องธรรมชาติกลับกลายเป็นเรื่องธุรกิจไปได้ พ่อแม่ที่ควรใส่ใจกับการเลี้ยงดูอบรมกลับฝากความหวังไว้กับ การหาฤกษ์คลอดบุตร การหาวันคลอดลูก


ผู้ให้คำปรึกษาแต่ละคนก้อมีวิชาต่างกัน ทฤษฎีต่างกัน บางที่อธิบายอะไรไม่ได้อ้างว่าเป็นความลับฟ้า บางที่หาฤกษ์คลอดได้ บอกแค่ว่าดี ไม่บอกรายละเอียด บางคนหาฤกษ์คลอดให้เสร็จ อธิบายไปยังดวงดาวที่แม้แต่นาซ่ายังไปไม่ถึง ซินแซเก่งๆมักพูดน้อย ถือหลักไม่พูดย่อมไม่ผิด ทั้งที่การหาวันคลอดหรือวิเคราะห์ชะตาใครสักคนมีหลักการที่พิสูจน์ได้ อธิบายได้ แต่หลายท่านเลือกทำให้เป็นความลับ เรื่องบุญกรรม เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องบางเรื่องจึงมีวิธีแก้ปัญหา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัญหาเลยถ้าคุณจำเป็นต้องผ่าคลอดแล้วบังเอิญมาเจอหน้านี้เข้า ก้อแนะนำให้อ่านหัวข้อตามนี้เลยครับหรือจะแวะไปอ่านที่ ibabysecret.com


ขอให้คุณได้รับคำตอบที่ค้นหา ไมว่าคุณจะหาฤกษ์คลอด หาวันคลอด ได้ดีแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือขอให้ลูกของคุณและคุณแม่สุขภาพแข็งแรง ความสุขมากมายรอว่าที่คุณพ่อว่าที่คุณแม่อยู่ครับ ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เมื่อเลี้ยงดูเขาไปนานวันอย่าได้ลืมวันเวลาช่วงตั้งครรภ์และช่วงที่ลูกน้อยยังไม่เกเร ยังไม่ซน เพราะปัญหาที่พ่อแม่มักทำพลาดไปคือ การหลงลืมไปว่าตัวคุณเคยรักเด็กคนนี้มากแค่ไหน
การหาฤกษ์คลอด



ตัวอย่างรูปแบบการวิเคราะห์วันเกิด หาวันคลอด หาศักยภาพด้วยวิชาดวงจีน
BAZI : The Destiny Code



ฤกษ์ึลอด




วิเคราะห์ฤกษ์คลอด





อ่านรายละเอียดที่

การหาฤกษ์คลอด


วิธีการหาฤกษ์คลอด



แม้ว่าการหาฤกษ์คลอดจะช่วยวางแผนในอนาคตได้ แต่สิ่งที่พิสูจน์แน่นอนแล้วว่ามีผลสำคัญยิ่งกว่าคือการเตรียมตัวของคุณพ่อคุณแม่ หนังสือฟรีเหล่านี้สามารถหาได้ฟรีทั่วไป เราช่วยคุณประหยัดเวลาในการค้นหา มันอาจไม่มีมูลค่าใด แต่มันจะมีคุณค่ากับลูกของคุณแน่นอน ทั้งหมดนี้และเล่มอื่นๆที่จะมีการรวบรวมไว้ มอบให้คุณฟรีๆเมื่อคุณตัดสินใจใช้บริการหาฤกษ์คลอดกับเรา หลายคนบอกว่าแค่หนังสือฟรีเหล่านี้ก็คุ้มแล้ว อีกทั้งเรายังมีบทความที่นำเสนอเรื่อยๆเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆในการดูแลเด็ก



สิ่งต้องห้ามในการหาฤกษ์คลอด

 รู้จักปฏิทินจีน วิธีอ่าน และความน่าเชื่อถือ



หลักการดวงจีนเบื้องต้นเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

·       ดวงจีนคืออะไร ดวงจีนคือการคำนวณหาว่า ณ วันเวลาที่เราเกิด มีสภาวะพลังงานแบบใด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้รับมาตั้งแต่เกิด หลัก ปี เดือน วัน ยาม  การที่คนจีนเชื่อเพราะว่าดวงจีนสามารถทำนายบุคลิกนิสัย เหตุการณ์ต่างๆได้แม่นยำ

·       วิชานี้เรียกว่าโป๊ยหยี่สี่เถี่ยว ซึ่งแปลได้ว่า สี่เสาหลักของชีวิต 

·       แต่ละคนจะมีดิถีธาตุประจำตัว และมีส่วนผสมที่แตกต่างกันไปหลากหลายรูปแบบ

·       การดูว่าเราเป็นคนธาตุอะไรนั้น สิ่งที่หลายคนสับสนคือ ดูตรงไหน หลายคนดูที่ปีเกิด แต่ที่ถูกต้องแล้วจะดูที่วันเกิด ส่วนเวลา เดือน ปี นั้นเป็นส่วนผสมของพลังงานเรา

·       จุดสำคัญของดวงจีนนี้มิใช่เพื่อการดูนิสัยเรา ดูอดีต หรืออนาคต แต่คือการปรับสมดุลให้กับตัวเอง ด้วยวิธีการต่างๆ ไม่มีการไหว้เจ้า หรือสะเดาะเคราะห์แต่อย่างใด

·       ในการตรวจคุณสมบัติ พลังงานของดวงเราเสมือนเราเป็นนักขับรถแข่งที่ได้ตรวจสอบตัวเอง (SWOT) เรียบร้อยแล้ว แต่ปัจจัยในการที่เราจะชนะ หรือประสบความสำเร็จได้นั้นมีสามส่วนคือ ฟ้า คน ดิน (คือมันไม่เกี่ยวกับดวง)

·       คนคือการกระทำของตัวเราเอง นิสัยที่ผ่านมา การใช้เวลา การศึกษา เพื่อนที่เราคบ อันนี้เราเปลี่ยนตัวเองได้ ก็เหมือนนักขับที่จะแข่งได้ต้องขับรถเป็น และมีการฝึกฝนพอสมควร

·       ฟ้าคือวันเดือนปีเกิด วันเวลาแต่ละวันที่ผ่านมา เรารู้ได้ แต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตรงจุดนี้เหมือนสนามว่าเรามีสนามดีร้ายอย่างไร ทางตรงทางโค้งหลบอยู่ตรงไหน ตรงนี้ปีจร วัยจรจะบอกเราได้ว่าเป็นอย่างไร (แต่มันไม่แม่นยำหรือจำเป็นต้องถูกเสมอไป เพราะถ้าทางแย่ แต่คนขับเก่งหรือมีรถดีมันก้อพอไปถึงเป้าหมายได้เช่นกัน) หรือบางทีเรามีแผนที่แต่เราไม่จำเป็นต้องไปตามทางนั้นก้อได้

·       สุดท้ายคือรถ นั่นก้อคือบ้านที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน ฮวงจุ้ยนั่นเอง ตรงนี้เราปรับแต่งรถเราได้ในระดับนึงเท่านั้น

ในเรื่องบ้านนี้ เปรียบได้ว่า เราเป็นเมล็ดพันธุ์ คุณภาพมีดีมีร้ายแตกต่างกัน การปลูกสิ่งใดเมล็ดพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญ ฤดูกาลคือวันเวลา ชะตาฟ้า ดินคือฮวงจุ้ย ถ้าทั้งสามส่วนดี ย่อมดีมาก แต่ถ้าเมล็ดพันธุ์ดี แต่ฝนฟ้าไม่ดี น้ำแล้ง ย่อมเกิดปัญหาแต่ถ้าเราปรับสภาพดิน ทำชลประทาน ให้เหมาะสมก็พอที่จะปลูกได้

·       แต่เมล็ดมะม่วงย่อมปลูกได้มะม่วง ไม่สามารถปลูกเป็นทุเรียนได้ มากสุดก้อแค่มะม่วงเกรดเอ

·       ชีวิตคนเราก้อเช่นกัน ไม่สามารถที่จะจัดฮวงจุ้ยบ้านแล้ว เปลี่ยนจากพนักงานเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โดได้ทันที ฮวงจุ้ยเปรียบเสมือนตัวคูณเท่านั้น ถ้าเราซึ่งเป็นตัวตั้งต้นดีพอ ขยันพอ ฮวงจุ้ยก้อช่วยให้เราตัดสินใจ เลือกทำสิ่งต่างๆได้ถูกต้อง ก้าวหน้าประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น ในระดับที่เป็นไปได้เท่านั้น

·       ข้อดีของศาสตร์จีนคือมีเหตุ ผล วิธีแก้ไขที่เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมด

·        เมื่อเราทราบว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ให้คุณ ให้โทษ วัยจร 10 ปีก้อเปรียบเหมือนแผนที่ ที่จะบอกให้เรารู้ว่าเราจะต้องเจออะไร

·        ถ้าช่วงไหนเจอวัยจรที่เป็นธาตุหรือพลังงานในแบบที่เราชอบ ย่อมมีแนวโน้มว่าช่วงนั้นน่าจะดี ตัดสินใจเรื่องต่างๆได้ดี

·        นอกจากวัยจร สิ่งต่อมาคือ ปีจร ในวัยจรไม่ดี ก้อยังมีปีจรดีๆได้ (แม้ปีไม่ดียังมีเดือน วัน ยาม อีกครับ) สุดท้ายถ้าหาดีไม่ได้ คนเราก้อไม่ควรต้องรอวันเวลา ต้องปรับสมดุล เสริมพลังงานในรูปแบบที่เราชอบเข้ามาเอง

·       การเสริมธาตุที่ชอบก้อเหมือนกับการปรับสนามพลังรอบตัวเรา บ้าน ที่ทำงาน ให้เป็นแบบที่เราชอบ ปรับพฤติกรรม นิสัย บางอย่าง การกิน การทำงานในช่วงเวลาต่างๆ ในแบบที่ดีกับเร

·        ดวงแต่ละคนไม่สามารถระบุให้ลงไปได้ว่าดวงนี้ดีหรือร้าย  แต่บอกได้ว่าช่วงใดเป็นอย่างไร เช่นในการดูฤกษ์ผ่าคลอด ถ้าเลือกได้เราจะเลือกให้วัยจรในช่วงทำงาน 20 – 40 เป็นช่วงที่ดีสุดๆ เพราะเป็นช่วงหาเงิน ส่วนช่วงเด็กกับตอนแก่ ถ้าไม่ดีตอนเด็กคนเป็นพ่อแม่ยังช่วยได้ ตอนแก่ถ้ารู้ตัวเสียก่อนก็เตรียมการแก้ไขได้

·       การคิด การตัดสินใจต้องอาศัยข้อมูลเสมอ แต่นอกเหนือสมอง ก็คือจิตใต้สำนึก ตรงนี้เองที่คนจีนและคนที่ศึกษาเรื่องนี้เชื่อแบบพิสูจน์ยังไม่ได้ มีแต่ผล สถิติที่เห็นได้ ว่ามันมีพลังธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของเรา ง่ายๆเลย อากาศร้อนเราก้อใจร้อน พลังงานแต่ละฤดูกาลก้อคือการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆนั่นเอง

·       ปัจจัยในการตัดสินใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บรรยากาศในบ้าน ที่ทำงาน ญาติพี่น้อง เพื่อน อารมณ์ เยอะครับ นั่นบอกได้ว่าการโชคดี โชคร้ายของแต่ละคนมันขึ้นกับปัจจัยเยอะ เอาเป็นว่าโดยรวมคือการตัดสินใจนะครับ

·        คนวัยจรดี แต่ผลออกมาแย่ก็มี วัยจรแย่ผลออกมาดีก้อเยอะ เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของพลังงานภายใน กับภายนอก เป็นเรื่องของการตัดสินใจ เป็นเรื่องของความสามารถเรา เป็นเรื่องของจิตใจ สมอง ไม่เกี่ยวกับดวงสักหน่อย 

·        สิ่งสำคัญคือเราประยุกต์ ปรับสภาพรอบตัวเรา ทั้งในเรื่องง่ายๆ เช่นวัตถุสิ่งของ บ้านที่อยู่อาศัย ไปจนถึงพฤติกรรม นิสัย กิจกรรมที่ทำ อาหารที่ทาน ทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดการสร้างสมดุลแก่ตัวเรา

·        สิ่งใหญ่ๆ มักเกิดจากสิ่งเล็กๆ หลายอย่างผสมกัน ตัวตนเรา ณ วันนี้ล้วนผ่านการตัดสินใจเล็กๆ มานับไม่ถ้วน สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ บางคนอาจเรียกว่า กรรมเก่าบ้าง ดวงบ้างอะไรบ้าง แต่แท้จริงแล้วคือการตัดสินใจ

·        สุดท้ายไม่ว่าวันเดือนปีเกิดจะส่งผลดีร้ายแค่ไหน ตัวเราจะฉลาด ขยันแค่ไหน  บ้านที่เราอยู่จะดีแค่ไหน สิ่งที่สำคัญคือการตัดสินใจ ซึ่งขึ้นกับสมองเราเป็นหลัก ดังนั้นสรุปได้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือดูแลให้สมองเราทำงานได้เต็มที่ก็เพียงพอแล้ว

·        ขอเพียงเข้าใจหลักการนี้ ปีชงปีไหน ดวงดีดวงร้าย เราแทบไม่ต้องสนใจ เราจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องไปดูดวงอะไรอีกต่อไป




Ibabysecret.com หาฤกษ์คลอด


แม้ว่าจะไม่ได้หาฤกษ์คลอด
คุณยังค้นหาศักยภาพของลูกรักได้ด้วยหลักการนี้
อ่านเพิ่มเติมที่

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ลักษณะว่าที่เด็กอัจฉริยะ

ลักษณะว่าที่เด็กอัจฉริยะ

ไม่มีใครรู้ว่าอะไรทำให้เด็กเป็นอัจฉริยะ แต่พ่อแม่ก็สามารถสังเกตได้จากตัวอย่างสัญญาณบ่งบอก 20 ข้อต่อไปนี้ว่าลูกคุณเป็นเด็กอัจฉริยะหรือเปล่า

1. เรียนรู้เร็ว เรียนรู้อะไรได้ง่าย รวดเร็วและทำได้ดีด้วย

2. ช่างพูด รู้ศัพท์เยอะและใช้ได้ถูกต้องเกินเด็กวัยเดียวกัน

3. มีเหตุผล แสดงออกถึงการใช้เหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ได้ดีเกินวัย

4. มีความจำเป็นเลิศ แต่ถ้าใครขอให้ท่องซ้ำ ๆ อยู่ตลอดเวลาก็จะเบื่อง่าย

5. มีวินัยในตัวเองสูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน แม้ว่าจะต้องได้รับการตักเตือนอยู่บ้าง

6. ชอบความเป็นระเบียบ มีระบบในการคิดและทำเรื่องต่าง ๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย

7. มีความคิดสร้างสรรค์และสามารถผสมผสานความคิดต่าง ๆ ให้เป็นระบบและนำความคิดนั้นมาปรับใช้งานได้ดี

8. อยากรู้อยากเห็นในทุก ๆ เรื่อง

9. มีคำถามที่ต้องใช้ความคิดเยอะในการตอบ

10. สามารถทำคะแนนได้สูงในหลายวิชา

11. ถ้ากำลังทำอะไรอยู่ จะมุ่งมั่นตั้งใจ มีสมาธิสูงมากที่จะทำให้สำเร็จ

12. ตอบคำถามต่าง ๆ ได้ตรงประเด็นอย่างรวดเร็ว

13. มีข้อมูลหลากหลาย นำมาคิดต่อยอดใช้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด

14. แสดงความสนใจอย่างลึกซึ้งในวิทยาศาสตร์หรือศิลปะ

15. มีสำนวนการพูดหรือการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

16. มีความมั่นคงทางอารมณ์

17. มักจะแสดงความเป็นผู้นำ

18. แสดงความสามารถในการใช้สามัญสำนึกอยู่เสมอในสถานการณ์ต่าง ๆ

19. เข้าใจและยอมรับความสลับซับซ้อนของบางสิ่งบางอย่างได้ดี

20. แสดงอย่างเปิดเผยในการมองสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวออกว่าเป็นอย่างไรและควรปฏิบัติตัวอย่างไร

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิธีรับมืออารมณ์ต่างๆของลูก

เด็กอารมณ์ดี ขี้เล่น น่ารัก เชื่อว่าใครๆ ก็อยากเข้าใกล้และสัมผัส พ่อแม่ก็คงปลื้มใจที่ลูกของตัวเองเป็นที่รักใคร่และชื่นชมของบุคคลอื่น แต่หากลูกของเรามีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ อารมณ์ร้อนอย่างร้ายกาจ พ่อแม่ก็คงปวดหัวน่าดู แต่ถามว่าพ่อแม่มีวิธีรับมือกับเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ย่อมมีแน่นอน ที่สำคัญ หากปรับพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูกตั้งแต่ต้น ก็จะช่วยให้ลูกเลิกพฤติกรรมเหล่านั้นไปได้ในที่สุด

แล้ววิธีการรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ของลูกมีอะไรบ้างศ.นพ.พิภพ จิรภิญโญ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เขียนวิธีการรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ของลูก ไว้ในหนังสือชุด คัมภีร์เลี้ยงลูกให้เก่งและดีดีกรีฮาร์วาร์ด ตอน พื้นฐานในการเลียงลูกให้เก่งและดี ไว้ว่า

การเลี้ยงลูกอย่างถูกวิธีในช่วง 2 ขวบปีแรก จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกเป็นคนอารมณ์ร้อนหรืออารมณ์ร้าย แต่มีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่เลี้ยงลูกได้อย่างใกล้ชิดและหมั่นคอยดัดหรือแก้ไขพฤติกรรมที่ผิดๆ ของลูกตั้งแต่เริ่ม ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกในระยะ 2 ปีแรกเลย ปล่อยให้ลูกทำผิดๆ อย่างต่อเนื่องจนติดเป็นนิสัย เกิดอารมณ์ร้ายทุกครั้งที่ไม่พอใจ เพื่อไม่ให้พฤติกรรมที่ผิดๆ นี้ติดเป็นนิสัยไปจนโต เมื่อพบว่าลูกมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เมื่อใด ก็ควรหมั่นแก้ไขทันทีและอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

1.พฤติกรรมก้าวร้าวหรือดื้อ


ทารกอายุประมาณ 8-9 เดือนจะเริ่มควบคุมมือของตัวเองได้ดี จึงมักจะลองตบสิ่งของใกล้ตัวหรือคนที่อยู่ใกล้ตัว ในระยะแรกของการตบก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ เขาจะรู้ว่าการตบคนอื่นทำให้ผู้นั้นเจ็บได้ ถ้าไม่ห้าม ต่อไปเขาจะมีเครื่องมือในการทำร้ายคนอื่น เป็นการก่อให้เกิดความก้าวร้าวขึ้นมาในจิตใจของเขาโดยไม่รู้ตัว

ขณะที่เขาอายุ 2-3 ปี และมีพฤติกรรมชอบตบตีคนอื่น ควรรีบแก้ไขพฤติกรรมที่เอาแต่ใจตัวเองของลูก แต่ไม่แนะนำให้ตีเขา เพราะจะทำให้เขาใช้วิธีนี้กับผู้อื่น ควรใช้ความสงบในการลงโทษมากกว่าวิธีอื่น เช่น ขณะที่เขาก้าวร้าวจะวิ่งไล่ตีคนอื่น ก็ควรแยกเขาให้อยู่คนเดียวสัก 1-2 นาที จนกว่าอารมณ์ของเขาจะสงบลง ในกรณีที่เขาชอบแสดงอาการดื้อและก้าวร้าวในห้างสรรพสินค้า ขอให้ใจเย็นๆ นำเขากลับบ้านทันที ให้อยู่กับพี่เลี้ยง แล้วจึงออกไปทำธุระต่อให้เสร็จ การลงโทษเช่นนี้ควรทำสม่ำเสมอและทำตั้งแต่เขายังเล็ก

ทุกครั้งที่เขามีพฤติกรรมเช่นนี้ต้องรีบจัดการ มิฉะนั้นพฤติกรรมนี้จะติดตัวและจะเป็นพฤติกรรมที่ทำร้ายตัวของลูกเองในภายหลัง

2.ซนกว่าปกติ

ตามธรรมชาติจะแบ่งอุปนิสัยทารกออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือกลุ่มกลัวหรือเรียบร้อยมาก กลุ่มที่สองคือ กลุ่มกล้าๆ กลัวๆ และกลุ่มที่สามคือ กลุ่มซนหรือกล้ามาก กลุ่มที่ซนหรือกล้านี้จะเป็นทารกหรือเด็กที่อยากรู้อยากเห็น เด็กกลุ่มนี้จะเริ่มเดินหรือพูดได้เร็วกว่าปกติ และความอยากรู้อยากเห็นของเขานี้เองทำให้เขาประสบอุบัติเหตุได้บ่อย เช่น ตกเตียงหรือหัวชนกับโต๊ะหรือกำแพงได้

นอกจากนี้ อาจพบเด็กที่ซนมากกว่าปกติ จนถึงขั้นที่เรียกว่า พวกสมาธิสั้น บางคนอาจจะเรียกว่า เด็กไฮเปอร์ ซึ่งย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า hyperactive child จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบถึงสาเหตุของการเกิดภาวะนี้ แต่บางครั้งการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้องก็ทำให้เขาไฮเปอร์ได้ การที่เขามีความเครียดอยู่ในใจ ทำให้เขาซนเพื่อเรียกร้องความสนใจก็ได้ เมื่อพบว่าลูกเป็นเช่นนี้ ควรใส่ใจเขาให้มากขึ้น โอบกอดเขา พูดจากับเขาบ่อยๆ ควรให้เขาทำกิจกรรมที่สร้างเสริมสมาธิ เช่น การต่อจิ๊กซอว์ง่ายๆ การต่อเลโก้ หรือการเรียนวาดเขียน เด็กพวกนี้จะมีพลังงานสูงมาก การส่งเขาไปว่ายน้ำเพื่อลดพลังงานในตัวเขาก็จะช่วยได้มาก

ในกรณีที่เขามีสามธิสั้นควรหากลอุบายให้ทำกิจกรรม 2-3 ชนิดต่อเนื่องกัน เพื่อเป็นการยืดสมาธิของเขา และเมื่อพบลูกเข้าข่ายนี้เมื่อใด ก็ควรรีบแก้ไขตลอดเวลา เพื่อให้เขามีสมาธิที่ดีขึ้นก่อนเข้าโรงเรียน

3.เอาแต่ใจตัวเอง

การเอาแต่ใจตัวเองเป็นพฤติกรรมที่เกิดข้นต่อเนื่องจากช่วงทารก ซึ่งในระยะแรกๆ ถ้าเขาสนใจอยากได้อะไร ผู้ใหญ่รอบๆ ข้างก็มักจะยอมและตามใจเขา โดยไม่มีการจำกัดขอบเขต เมื่อเขาเติบโตขึ้น บางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้องก็ควรจะห้ามเขาได้ แต่การเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ไม่เคยถูกจำกัดขอบเขตของพฤติกรรม อยากทำอะไรก็ไม่มีคนกล้าขัดใจ จนเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง ทำให้ติดเป็นนิสัย และมักจะแสดงอาการก้าวร้าวเมื่อมีคนมาขัดใจ เช่น ขว้างของ ตีคนรอบข้าง หรือ ทำร้ายตนเอง เช่น หัวโขกพื้น หรือร้องไห้แล้วกลั้นใจจนหน้าเขียวก็มี

พ่อแม่จำนวนมากเมื่อพบพฤติกรรมตอบโต้ของเขาเช่นนี้ก็เกิดความกลัว ในที่สุดก็ไม่กล้าขัดใจ ทำให้เขาได้ใจและใช้วิธีการนี้เป็นอาวุธประจำตัวเมื่อมีคนขัดใจ กลายเป็นเด็กที่เอาแต่ความคิดตนเองเป็นหลัก เมื่อเป็นมากขึ้นก็จะไม่เห็นความสำคัญของคนอื่น กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและเข้าสังคมไม่ได้ จึงควรดัดเขาตั้งแต่เล็กๆ ทุกครั้งที่พบพฤติกรรมเช่นนี้ เช่น การที่เขาร้องแล้วกลั้นหายใจจนเขียวนั้น ก็อย่ายอมเขา โดยปล่อยให้เขาร้อง อยู่ใกล้ๆ เขา เอามือหนึ่งของคุณไว้บนแผ่นหลังของเขา อีกมือหนึ่งของคุณไว้บนหน้าอกของเขา แล้วกดอกของเขาเข้าหากันเบาๆ เพื่อเป็นการผายปอด จะทำให้เขากลับมาหายใจได้เร็วขึ้น ลูกมักจะร้องกลั่นหายใจเฉพาะครั้งแรกที่ร้องเท่านั้น เมื่อเขากลับมาหายใจดังเดิมก็เดินจากมา ปล่อยให้เขาร้องต่อไป ในครั้งต่อๆ ไปเขาจะไม่ทำเช่นนี้อีก เพราะไมได้ประโยชน์อะไรจากการร้องไห้รุนแรงเช่นนี้

ในกรณีที่ชอบขว้างของ ตีคนรอบข้างหรือทำร้ายตนเอง เมื่อมีคนมาขัดใจ ก็ให้แก้ไขในทันทีที่พบเช่นกัน พฤติกรรมเหล่านี้ลูกมักจะทำในช่วงแรกของความไม่พอใจ จึงควรอยู่ใกล้ๆ เขาในช่วงนั้น ถ้าเขาจะขว้างของก็ให้จับมือเขาไว้ บีบจนคลายของที่จะขว้างแล้วปล่อยมือเขาลง ถ้าเขาจะหยิบสิ่งของอีกก็จับและบีบจนคลายมือเช่นเดิม จนเมื่อเขาเลิกทำได้แต่ร้อง จึงเดินออกมา

การตีคนรอบข้างก็เช่นกัน ให้จับมือเขาหรือขาของเขาที่จะทำร้ายผู้อื่น จนมั่นใจว่าหมดฤทธิ์แล้วจึงเดินจากมา เด็กบางคนชอบทำร้ายตนเอง เพราะคิดว่าพ่อแม่คงเจ็บไปด้วย เช่น เมื่อโกรธลูกอาจจะเอาศีรษะโขกพื้นหรือโขกกำแพงก็ควรห้ามไว้ จีบศีรษะของเขาเอาไว้ไม่ให้ทำ จนเขาเอาแต่ร้องแล้วเลิกทำ จึงเดินจากมาได้ อย่าให้ลูกทำพฤติกรรมเหล่านี้ได้สำเร็จ ไม่ต้องอ่อนข้อให้เขา แต่ไม่ควรตีเขาเพื่อเป็นการลงโทษ ลูกจะค่อยๆ คิดได้ในภายหลังว่า การเอาแต่ใจตัวเองนั้น ไม่เคยเกิดผลดีต่อตนเองเลย

4.ขี้กลัวหรือไม่กล้า

มีเด็กอย่างน้อยหนึ่งในสามที่เป็นเด็กขี้กลัวหรือไม่กล้า พ่อแม่หลายคนเห็นจุดอ่อนของลูกด้านนี้จึงมักนำมาใช้บังคับลูก โดยขู่สิ่งที่ลูกกลัวเพื่อหวังผลให้ลูกทำตามที่ตนต้องการ บ่อยครั้งที่การขู่ประสบผลสำเร็จทำให้ลูกทำตาม แต่การขู่นั้นจะทำให้ลูกเป็นคนขี้กลัวมากยิ่งขึ้น เป็นคนไม่กล้าแสดงออกหรือกลัวมากจนไม่กล้เข้าสู่สังคมเลยก็มี เช่น ขู่ลูกว่าอย่าออกนอกบ้านเดี๋ยวจะมีเสือมากัด ครั้นพอจะส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล ลูกก็ไม่กล้าไป เอาแต่ร้องไห้ จนในที่สุดลูกก็ไม่สามารถออกนอกบ้านได้ ดังนั้น เมื่อพบว่าลูกเป็นคนขี้กลัว ไม่ควรใช้การขู่ในการเลี้ยงลูกคนนี้เลย ควรสร้างความมั่นใจให้แก่เขาทีละเล็กทีละน้อย โดยเฉพาะเมื่อเขาได้พบกับประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น การจะพาไปโรงเรียนอนุบาลในช่วงก่อนเรียน อาจพาเขาไปที่โรงเรียนปล่อยเขาเดินเล่นสัก 5-10 นาที แล้วจึงค่อยพากลับบ้าน วันต่อมาก็พาไปอีกเขาจะเริ่มชินที่นี่ สักพักก็พาเขากลับ พาเขาไปเรื่อยๆ จนเมื่อเขาเริ่มเคยชินกับสถานที่มากขึ้น เขาจะเริ่มเดินจากพ่อแม่ ค้นหาไปทั่วบริเวณนั้น โดยไม่ค่อยหันมาหาพ่อแม่ แสดงว่าเขาชินมากขึ้น

ครั้นถึงคราวเปิดเทอม ในช่วงแรกอาจส่งให้ครูเพียงวันละ 1-2 ชั่วโมง แล้วมารับเขากลับบ้าน ประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากนั้น ก็สามารถเพิ่มเป็นครึ่งวันได้ จนเดือนต่อไปก็เพิ่มเป็นทั้งวันได้ หลักเกณฑ์ค่อยๆ เพิ่มประสบการณ์ในสิ่งใหม่นี้ ใช้ได้ในทุกกรณีสำหรับลูกที่เป็นคนขี้กลัวหรือไม่กล้า และควรจำไว้เสมอว่า ห้ามใช้การข่มขู่ไม่ว่ากรณีใดกับลูกที่มีนิสัยขี้กลัวเช่นนี้

จะเห็นได้ว่า ลูกอาจมีพฤติกรรมและอารมณฺที่ไม่พึงประสงค์มากมาย พ่อแม่ควรรู้ถึงพฤติกรรมและอารมณ์เหล่านี้ของลูกตั้งแต่ต้นๆ และควรหาทางแก้ไข การแก้ไขในช่วงแรกๆ จะประสบผลสำเร็จได้ง่าย และทำให้ลูกเลิกพฤติกรรมนั้นได้ไปตลอด แต่ในทางกลับกัน ถ้าอรารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดๆ ของลูกไม่ได้รับการแก้ไขในช่วงแรกๆ การจะแก้ไขในภายหลังมักจะไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะพฤติกรรมและอารมณ์ร้ายเหล่านี้ได้ติดตัวลูกไปแล้ว



ที่มาบทความจาก manager.co.th

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นี่แหล่ะชีวิตจริง

6927e7a5jw1dj4yjztoshg

ศาสนาพุทธสอนให้เรารู้ว่าไม่มีสิ่งใดแน่นอน แต่มีความแน่นอนว่าคนเราเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครหนีพ้น ชีวิตของทุกคนเริ่มต้น เหมือนกัน มีแนวทางเดินคล้ายกันแต่ต่างกันที่รายละเอียดและคุณภาพการใช้ชีวิต แต่ถ้าคิดๆดูดแล้วก็ไม่ต่างกันมาก เกิด เรียน ทำงาน แก่ชรา ตาย ชีวิตก็แค่นี้เอง

ทำอย่างไรให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำอย่างไรให้มีความสุขกับชีวิตในทุกๆวันได้ ทำอย่างไรให้มีรูปแบบชีวิตเหมือนกับทุกคนได้แต่มีความสุขมากกว่า ไม่ว่าคุณจะมีมากมีน้อย ไม่ว่าจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย หรือยากจน สุดท้ายก็ต้องผ่านวงจรชีวิตเช่นนี้เหมือนกัน